Unified Theory on Political Science
Posted by thesisguru บน พฤษภาคม 13, 2007
เชิญดาวน์โหลดไฟล์เพื่อการวิพากษ์ทางวิชาการครับ
ไฟล์ข้อเสนอเชิงทฤษฎี
ไฟล์โมเดลในการพัฒนาทฤษฎี
แสดงความคิดเห็นได้อย่างเต็มที่เลยครับ ไม่จำกัดสำนักคิด และขอบคุณ “จอมยุทธผู้กล้า” ทุกท่าน ที่สละเวลาเขียนคอมเม้นท์
thesisguru said
มันอาจจะเป็นคำที่ฟังดูแปลก ๆ แต่ไม่ใช่เรื่องใหม่เลยครับ…แต่ที่ต้องใช้คำแปลก ๆ นี้ก็เพราะว่า…ถ้าเราใช้คำเดิม ๆ มันก็เหมือนกับเราลอกทฤษฎีคนอื่นมาเล่าใหม่…ทั้ง ๆ ที่ทฤษฎีนี้มีคำอธิบายที่เป็นกระบวนทัศน์ใหม่มาก สำหรับรัฐศาสตร์
คำเก่าที่ว่านั้นได้แก่ “อำนาจในการให้ความหมาย” แต่กระบวนทัศน์ในรัฐศาสตร์เก่า แม้จะเรียกตัวเองว่า postmodern ก็ตาม ก็ยังมองความเป็นจริงทางสังคมในลักษณะปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นเรียงกันเป็นเส้นตรง และค่อนข้าง static แต่คำที่ผมนำเสนอสองคำได้แก่ “พลังการหมุนวนของความหมาย” และ “พลังของความหมายทางสังคม” นั้นมีนัยเพื่อสื่อถึงความเกี่ยวเนื่องแบบไม่เป็นเส้นตรงและเคลื่อนไหวอยู่ตลอด ซึ่งประยุกต์จากกฎ nonlinear dynamics ของกระบวนทัศน์แบบ life science แทนกระบวนทัศน์แบบ social physics ที่มีอิทธิพลต่อการวิเคราะห์ของวงวิชาการทางรัฐศาสตร์ส่วนใหญ่ โดยเฉพาะบ้านเรา
“พลังของความหมายทางสังคม” จะเพิ่มขึ้นแบบทวีคูณ เมื่อเกิด “พลังการหมุนวนของความหมาย” โดยตัวคูณได้แก่ความหมายที่ถูกตีความโดยปัจเจกแล้วป้อนเข้าสู่ระบบ ในที่นี้ก็คือ space ที่คุณสามชายคุ้นเคย หรือระบบ ที่ผมใช้ ซึ่ไม่สำคัญว่าใครจะใช้ metaphor อะไร แต่ก็หมายถึงสิ่งเดียวกัน คือ “ปริมณทลของสังคมมนุษย์”
“พลังการหมุนวนของความหมาย” จะเกิดขึ้น เมื่อปัจเจกมีอิสระในการตีความ และมีอิสระในการสื่อความหมายออกไป ซึ่งเรามักจะไม่ค่อยเห็นปรากฏการณ์แบบนี้บ่อยนักในบ้านเรา ในด้านอิสระในการตีความนั้น ไม่เกิดขึ้น เพราะปัจเจกถูกครอบงำจากโครงสร้างทางอำนาจมานาน จนไม่รู้สึกว่าถูกครอบงำ แต่อิสระในการสื่อความนั้น ระบบไม่ยอมให้เกิดขึ้น เพราะระบบเชื่อว่าจะไปสั่นคลอนความหมายเดิมที่มีอิทธิพลอยู่ในระบบ
“ความหมาย” จะหมุนวนเข้าสู่ศูนย์กลางของความหมายเสมอ ซึ่งศูนย์กลางของความหมายจะเลื่อนไหลไปเรื่อย ขึ้นอยู่กับความสัมพันธ์เชิงอำนาจและผลประโยชน์ของศูนย์กลางความหมายและผู้สื่อความหมายออกไป ลักษณะการหมุนวนของศูนย์กลางความหมายอธิบายด้วยพฤติกรรมของ “ตัวดึงดูดประหลาด” หรือใน chaos theory รู้จักกันในนาม strange attractor ที่แสดงลักษณะการดึงดูดแบบปั่นป่วน และในภาพใหญ่ มันจะมีแบบแผน (ระเบียบ) ของมันอยู่
ตัวอย่างที่เป็นรูปธรรมเท่าที่ผมนึกออกตอนนี้คือ…การตีความรัฐธรรมนูญที่เกิดขึ้นในช่วงปีสองปีที่ผ่านมานี้…ในสมัยที่คุณทักษิณยังมีอำนาจ การให้ความหมายมีแนวโน้มที่จะหมุนวนไปสู่คุณทักษิณ แม้จะมีการให้ความหมายในทางตรงกันข้าม แต่พลังในการดึงดูดมีไม่มากพอ…แต่หลังจากที่คุณทักษิณหมดอำนาจ…ศูนย์กลางการให้ความหมายก็เปลี่ยนไป…แม้ศูนย์กลางเก่า…จะพยายามดึงดูดมากเท่าไร ก็ดูเหมือนว่าจะไม่ส่งผล
คำถามคือ…แล้วทฤษฎี “บ้า ๆ บอ ๆ ทางรัฐศาสตร์” แบบนี้จะอธิบายการเกิดประชาธิปไตยที่แท้จริงได้อย่างไร…ทฤษฎีนี้เสนอว่า “ประชาธิปไตยที่แท้จริงจะเกิดขึ้นเมื่อประชาชนเป็นอิสระจากศูนย์กลางของความหมาย แม้แต่ตัวปัจเจกเอง”…ความหมายในประชาธิปไตยที่แท้จริง จะไม่มีลักษณะหมุนวน…เป็นแต่เพียงการเลื่อนไหลที่มีโลก (ธรรมชาติ) เป็นศูนย์กลางของความหมาย (จริง ๆ อยากจะบอกว่ามีจักรวาลเป็นศูนย์กลางแต่ก็เกรงว่า บางคนอาจตีความผิดเป็นอภิปรัชญาไป จึงใช้คำที่คนพอนึกตามได้)
ต่อคำถามที่ว่า “แล้วฝ่ายหนึ่งที่ว่ากำลังก่อความหมายขึ้น คือฝ่ายขั้วอำนาจเก่าอย่างนั้นหรือครับ?” นั้น ก็เป็นไปได้ทุกอย่างครับ…เพราะทฤษฎีนี้การเกิดความหมายไม่ได้มีหลักเกณฑ์แน่นอนตายตัวอะไร…ทุกสิ่งทุกอย่างมีโอกาสเป็นไปได้เท่า ๆ กัน…”ถ้าเรามองหาสิ่งใด เราก็จะเจอสิ่งนั้นครับ”…
…จะมีใครยอมรับไหมเนี่ย…ในวงวิชาการที่กำลังมองหาคำตอบต่อคำถามที่ว่า “ฉันจะรู้ได้อย่างจริงแท้แน่นอนได้อย่างไรว่า ฉันมีอยู่?”
สวัสดิ์